แนวคิดและปัญหา
"การมีส่วนร่วม"
เริ่มเป็นที่รับรู้ของสังคมไทยในห้วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ด้วยกระแสของการเมืองในโลกยุคใหม่
ที่มีทิศทาง De-centralize (กระจายออกจากศูนย์กลาง)
และเน้นไปในเรื่องสิทธิของพลเมืองทั้งในฐานะปัจเจกและในฐานะหน่วยทางสังคม
กับการเคลื่อนไหวและปฏิบัติการของชุมชนไทย
ที่คึกคักขึ้นจากความตื่นตัวต่อปัญหาและนโยบายประชานิยม
เช่นกัน ที่วาทกรรม"การมีส่วนร่วม"
ปรากฏอยู่ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
2545 อันระบุว่า ในการจัดการศึกษาให้ยึดหลักการ
ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
(มาตรา 8) และในกระบวนการจัดการศึกษาให้ยึดหลักการระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆมาใช้
และการมีส่วนร่วมของบุคคล
ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ
สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันทางสังคมอื่น
ความจริง ก่อนหน้าพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
แวดวงการศึกษาไทยก็เริ่มให้ความสนใจต่อแนวทาง
"บวร" หรือการประสานความร่วมมือในการจัดการเรียนรู้แก่เด็กและเยาวชน
ระหว่าง บ้าน-วัด-โรงเรียน
เพียงแต่ยังไม่แพร่หลาย
และมีการปฏิบัติต่างๆ
กันไปตามความเข้าใจ
อีกทั้งยังมีปัญหาในระดับกระบวนทัศน์ของโครงสร้างบริหารการศึกษาส่วนบน
ที่ยังไม่เข้าใจว่า
การมีส่วนร่วมนั้น มีมิติที่มากไปกว่าการให้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางความร่วมมือ
และความร่วมมือนั้นมีความหมายแตกต่างจากการมีส่วนร่วมเกือบสิ้นเชิง
รวมถึงการมองไม่เห็นลึกซึ้งถึงการเชื่อมโยงบทบาทของการศึกษาในระบบ
กับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
ที่เกาะเกี่ยวบูรณาการไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต
(Live long Education)
ตัวอย่างหนึ่งของปัญหาเชิงนโยบายต่อกระบวนการมีส่วนร่วมจัดการศึกษาของสังคม
คือข้อมูลที่แสดงว่าแม้แต่การจัดการศึกษาในระบบโรงเรียน
ที่น่าจะเปิดการลงทุนแก่ภาคเอกชน
ก็กลับมีแนวโน้มลดลง
เหลือเพียงร้อยละ 13 และเป็นสัดส่วนที่คงที่มากว่า
10 ปี โดยมีแนวโน้มลดลงอีก
สาเหตุเนื่องจากการขยายตัวของระบบการศึกษาโดยรัฐ
ที่มีอย่างต่อเนื่อง
บนพื้นฐานแนวคิดว่า
รัฐควรดำเนินการจัดการศึกษาเอง
จึงมีผลทำให้กฎหมาย
ระเบียบและแนวปฏิบัติต่างๆ
มีลักษณะของการกำกับควบคุม
มากกว่าการส่งเสริม
สนับสนุน
ในขณะเดียวกัน
องค์กรทางสังคมและชุมชนที่จัดการศึกษาเป็นกลุ่มเล็กๆกระจัดกระจายกันอยู่นั้น
ก็มีแนวคิด ปรัชญาและเป้าหมายการศึกษาที่แตกต่างไปจากความรู้ความเข้าใจของภาครัฐ
เนื่องจากเป็นการศึกษาที่เน้นวิถีชีวิตและการปฏิบัติที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของชุมชน
ที่เรียกกันว่ากลุ่ม
การศึกษาทางเลือก ( Alternative
Education )
การจัดการศึกษาโดยชุมชนเหล่านี้จึงถูกกีดกันออกไปจากระบบการศึกษาไทยมาช้านาน
แต่ก็น่ายินดีที่กระแสการปฏิรูปการศึกษาและหลักสูตรท้องถิ่น
เริ่มหันมาให้ความสนใจและเปิดที่ทางแก่การเชื่อมโยงซึ่งกันและกันมากขึ้น
สำหรับการมีส่วนร่วมของพ่อแม่ผู้ปกครอง
ซึ่งถือเป็นหัวใจของการจัดการศึกษาให้เยาวชน
จากผลการวิจัยด้านครอบครัวในรอบ
30 ปีที่ผ่านมา ยืนยันเสมอมาว่า
ความสัมพันธ์ที่ดีและการช่วยเหลือกันระหว่างพ่อแม่ผู้ปกครองแและโรงเรียนในการจัดการศึกษาให้แก่เด็ก
นอกจากจะทำให้เด็กประสบผลสำเร็จในด้านวิชาการแล้ว
ยังมีส่วนช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่สมบูรณ์
ทั้งทางร่างกาย จิตใจ
อารมณ์และสังคม ที่นำไปสู่ความก้าวหน้าในชีวิตอนาคต
เราจึงสรุปได้ว่า
การกระจายอำนาจและการบริหารอย่างมีส่วนร่วมในทุกระดับ
เป็นหลักการสำคัญที่สุดของเป้าหมายตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
ไม่ว่าจะเป็นการเปิดกว้างให้พ่อแม่
ผู้ปกครอง ชุมชน สถาบันทางสังคม
ได้มีบทบาทเป็น"ทุนทางสังคม"และ"ทุนทางวัฒนธรรม"ให้แก่การศึกษาทุกระบบ
หากแต่ยังหมายรวมถึงการเปิดที่ทางให้ชุมชน
สถาบันทางสังคม ที่รวมเอาสถาบันครอบครัวไว้ด้วย
ได้ปฏิบัติการตรงในการจัดการความรู้และจัดการศึกษาให้แก่ลูกหลานของเขาเอง
รวมถึงการที่สถาบันทางสังคมต่างๆ
จะสร้างองค์กรหรือหน่วยงานหรือสถาบันจัดการศึกษาที่หลากหลายแตกต่างไปจากระบบโรงเรียน
ไว้เป็นทางเลือกแก่สังคมไทยด้วย
อย่างไรก็ดี
ในที่นี้เราจะมุ่งทำความเข้าใจ
การมีส่วนร่วมในมิติที่เป็นไปได้มากที่สุดสำหรับสถานการณ์ในสังคมไทยปัจจุบัน
นั่นคือการมีส่วนร่วมจัดการเรียนรู้ระหว่างครอบครัว
ชุมชน และโรงเรียน ในบริบทของการศึกษาในระบบก่อน
"ชุมชน" กับ "การมีส่วนร่วม"
ชุมชนในยุคปัจจุบัน
ไม่ใช่ชุมชนตามความเข้าใจเดิมอีกต่อไป
กล่าวคือไม่แต่เป็นชุมชนที่มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และอยู่ภายใต้วัฒนธรรมชุดเดียวกันเท่านั้น
อีกทั้งไม่ใช่ชุมชนในความหมายที่เป็นหน่วยการปกครองของรัฐ
หากแต่เป็นชุมชนแบบใหม่ที่อาจเรียกว่า
"ชุมชนโดยเจตนา" หรือ
Intentional Community อันหมายถึง ผู้คนจำนวนหนึ่งที่อาจอยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือต่างพื้นที่
มารวมกลุ่มกันภายใต้เจตนาที่จะดำเนินกิจกรรมหรือภารกิจอย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกัน
มีความสัมพันธ์กันในระยะเวลาที่ต่อเนื่อง
หากเรามองชุมชนในความหมายใหม่ดังกล่าวนี้
ก็จะพบว่า กลุ่ม-สมาคมผู้ปกครอง
หรือกลุ่มผู้รู้ท้องถิ่น
และภาคีเครือข่ายที่โรงเรียนอาจเชื่อมโยงถึง
ก็เป็น"ชุมชน"อย่างหนึ่งนั่นเอง
ดังนั้นชุมชนในกระแสโลกาภิวัตน์จึงอาจลำดับได้ดังนี้