imga0444.jpg

old home
Activities
BWCS
WEBBOARD
KING&QUEEN
BWCS NEWS
Chinese Academics
ANUBAN CHILD
INFO NEWS
Programs
SPORT
Activities
Buddha Bless
Calendar Plan
Links
Contact Us

Long Live The King

ourking.jpg

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 ในราชวงศ์จักรี เสด็จขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 จนถึงปัจจุบัน ทำให้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐ เป็นเวลายาวนานที่สุดในโลก พระองค์ได้รับถวายพระราชสมัญญาว่า สมเด็จพระภัทรมหาราช มีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ผู้ประเสริฐยิ่ง ต่อมามีการถวายพระราชสมัญญาใหม่ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เมื่อ พ.ศ.2530

และ พระภูมิพลมหาราช อนุโลมธรรมเนียมเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงได้รับพระราชสมัญญาว่า พระปิยมหาราช

ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกว่า ในหลวง เพื่อหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยย่อมาจาก

"ใน(พระบรมมหาราชวัง)หลวง"

เบื้องหลังภาพประวัติศาสตร์
โดย ไทยรัฐ วัน พฤหัสบดี ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2549 11:59 น.
ภาพประวัติศาสตร์สุดประทับใจ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกสีหบัญชร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม วันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงแซ่ซ้องถวายพระพร “ทรงพระเจริญ” ของประชาชนนับล้าน ที่มารอเข้าเฝ้าฯอย่างเนืองแน่นไปทั่วลานพระบรมรูปทรงม้า ล้นทะลักไปถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์ และถนนราชดำเนินกลาง ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของชาวไทยทุกคน รวมถึงทีมงานผู้อยู่เบื้องหลังการถ่ายทอดสด ที่นำภาพประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่สู่สายตาประชาชนทั่วประเทศ!!

ในฐานะโปรดิวเซอร์ควบคุมการถ่ายทอดสดเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ อิทธิศักดิ์ พลอยศิริชล ผู้กำกับรายการไอทีวี เล่าว่า เรามีทีมงาน 60-70 คน ใช้เวลาเตรียมงานเป็นเดือน หลังจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานคำแนะนำให้จัดพระราชพิธีเสด็จออกสีหบัญชร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม แทนที่จะจัดภายในพระบรมมหาราชวัง พวกเราต้องใช้จินตนาการพอสมควร เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ประชาชนจะได้ถวายพระพรชัยมงคล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิดโดยตรง พวกเรานึกภาพคร่าวๆว่าน่าจะมีประชาชนมารอเฝ้าฯจำนวนมาก แต่ไม่คาดฝันว่าจะเป็นแสนๆขนาดนี้!! ทางไอทีวีได้ประสานกับสำนักพระราชวังนำจอแอลอีดีขนาดยักษ์ 8 จอ มาตั้งกระจายทุกสี่แยก ตั้งแต่ลานพระบรมรูปทรงม้า ยาวไปถึงสะพานมัฆวานฯ เพื่อถ่ายทอดสดภาพประวัติศาสตร์ให้ประชาชนได้รับชมกันทั่วถึง

ครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การถ่ายทอดพระราชพิธี ที่มีการใช้กล้องมากที่สุดถึง 17 ตัว และนำเพลงประกอบมาใช้เพิ่มความน่าประทับใจ 2 เพลง...“พวกเราขนกล้องมาถึง 17 ตัว เป็นกล้องพิเศษ 4 ตัว ตั้งบนกระเช้าของ กทม.เพื่อถ่ายทอดภาพมุมสูงให้เห็นพระที่นั่งอนันตสมาคมกว้างๆ และเห็นประชาชนใส่เสื้อเหลืองเต็มไปหมด ส่วนเครนกล้องอีก 3 ตัว จะเคลื่อนให้เห็นบรรยากาศของประชาชนทั่วไป และตั้งไว้ภายในรั้วพระที่นั่งปีกซ้ายขวา เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ของภาพให้เห็นถึงความสวยงามของพระที่นั่งฯ ยังมีกล้องติดรีโมตคอนโทรลอีกหนึ่งตัวตั้งอยู่บนยอดพระที่นั่งฯ จับบรรยากาศของประชาชนในมุมสูงแทนสายพระเนตรของในหลวงขณะเสด็จออกสีหบัญชร และทรงเห็นประชาชนมารอเข้าเฝ้าฯเป็นทิวแถว นอกจากนี้ ยังมีกล้องเลนส์บล็อกใหญ่คูณ 70 และคูณ 55 ประจำตามจุดต่างๆภายในพระที่นั่งฯ รวมทั้งโคลสอัพภาพในหลวงขณะเสด็จออกสีหบัญชร และรับอารมณ์ของประชาชนที่กำลังซาบซึ้งกับเหตุการณ์ครั้งนี้”

“อิทธิศักดิ์” บอกว่า เหตุการณ์ไคลแมกซ์สำคัญ คือตอนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสจบลง และมีเสียงถวายพระพรแซ่ซ้องขึ้นว่า “ทรงพระเจริญ” พวกเราคาดว่า จังหวะนี้จะต้องมีประชาชนจำนวนมากร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ ซึ่งเป็นภาพที่น่าประทับใจแน่นอน เราจึงตัดตอนบางส่วนของเพลง “จาตุมหาราชิกา” แต่งโดย “จำรัส เศวตาภรณ์” ในชุดนิพพาน มาเปิดเพื่อสร้างอารมณ์ร่วม ส่งให้เหตุการณ์ครั้งนี้ยิ่งใหญ่และเปี่ยมด้วยพลังน่าจดจำ นอกเหนือจากการใช้เพลง “การเดินทางของใจที่เที่ยงแท้” ในชุดเดียวกัน เปิดเป็นไตเติ้ลก่อนเสด็จและปิดท้ายตอนเสด็จฯกลับ แรกๆกลัวเหมือนกันว่าจะไม่เหมาะสม เพราะไม่เคยมีการใช้เพลงประกอบระหว่างการถ่ายทอดพระราชพิธี แต่ปรากฏว่าเป็นที่ประทับใจและได้รับเสียงชม!!

ในส่วนของภาพประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำนั้น โปรดิวเซอร์คนเก่งชื่นชมว่า ช่างภาพทุกคนทำงานได้เยี่ยมมาก ผมเห็นภาพที่ส่งเข้ามาแล้ว รู้สึกจุกอยู่ที่ลำคอ!! เพราะเป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจมาก...เกินความคาดหมาย!! ตอนผมคุมตัดภาพออกอากาศอยู่ น้ำตามันไหลไปด้วย ยิ่งเพลงคลอขึ้นมาเบาๆ ยิ่งทำให้มีอารมณ์ร่วมไปด้วย พอในหลวงทรงโบกพระหัตถ์เบาๆเท่านั้นแหละ ผมรู้ตัวเลยว่าไม่ไหวแล้ว...น้ำตาไหลไม่หยุด!! ทั้งผมทั้งทีมงานทุกคนรู้สึกเหมือนกับพระองค์ท่านโบกพระหัตถ์น้อยๆลูบมาที่ศีรษะเรา ผมทำงานข่าวมาเป็น 20 ปี มีโอกาสผ่านงานใหญ่ๆมามาก แต่วันนั้นวันเดียวที่ได้ถวายงานรับใช้ในหลวง รู้สึกเลยว่า ที่ผ่านมาไม่มีความหมาย!! ผมอิ่มใจมากกว่าภูมิใจ ที่ได้ทำงานรับใช้พ่อ ในฐานะลูก ได้ใช้ความรู้ความสามารถทั้งชีวิตถวายงานรับใช้พระองค์ท่านอย่างหมดใจ... ผมไม่หวังอะไรทั้งนั้น ขอเพียงแต่ให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญก็เพียงพอแล้ว

หนึ่งในทีมช่างภาพที่ร่วมบันทึกเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ครั้งนี้คือ ภาษิต แจ่มดวงภักตร์ เล่าความประทับใจว่า “ผมประจำจุดรับเสด็จเข้าพระที่นั่งอนันตสมาคม และส่งเสด็จขึ้นรถพระที่นั่ง ได้ถวายงานห่างจากพระองค์ท่านไม่ถึงวา!! มีอยู่ตอนหนึ่งที่พระองค์ท่านเสด็จเข้ามา ผมกำลังเดินถอยหลังเพื่อรับเสด็จ ปรากฏว่าสายเคเบิ้ลพันที่ขาผม พระองค์ท่านทรงเห็นจึงหันมารับสั่งกับผมว่า “ระวังจะล้มนะ!!” ผมได้ยินอย่างนั้นรู้สึกตัวลอยๆเหมือนกับจะหมดสติให้ได้ แต่ก็ต้องตั้งสติให้มั่นเพราะกำลังถวายงานพระองค์ท่านอยู่ ตอนนั้นอยากก้มลงกราบพระองค์ท่านที่สุด ในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงเผื่อแผ่มาถึงประชาชนธรรมดาเช่นเรา”.

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 ในราชวงศ์จักรี เสด็จขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 จนถึงปัจจุบัน ทำให้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐ เป็นเวลายาวนานที่สุดในโลก พระองค์ได้รับถวายพระราชสมัญญาว่า สมเด็จพระภัทรมหาราช มีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ผู้ประเสริฐยิ่ง ต่อมามีการถวายพระราชสมัญญาใหม่ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เมื่อ พ.ศ.2530 และ พระภูมิพลมหาราช อนุโลมธรรมเนียมเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงได้รับพระราชสมัญญาว่า พระปิยมหาราช ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกว่า ในหลวง เพื่อหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยย่อมาจาก "ใน(พระบรมมหาราชวัง)หลวง"

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
พระนามเต็ม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
พระนามเดิม พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช
พระราชสมภพ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐
เสวยราชสมบัติ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙
พระโอรสธิดา ๔ พระองค์

พระราชประวัติ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เสด็จพระราชสมภพที่โรงพยาบาลเมาท์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น 12 ค่ำ ปีเถาะ นพศก จุลศักราช 1289 ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 เป็นพระโอรสองค์ที่ 3 ในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) และหม่อมสังวาล ตะละภัฎ (ชูกระมล) (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) ทรงมีพระนามขณะนั้นว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช พระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล

เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยม มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุไม่ถึง 2 ปี

[แก้] การศึกษา

พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(ขวา) สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี(กลาง) และ พระเชษฐาธิราช  ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. 2481 โดยมี กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงเป็นผู้ฉายพระรูป สามารถเห็นพระองค์ในกระจกด้านหลัง ซึ่งพระองค์ได้ประทับนั่งอยู่ ตรงข้าม และสมเด็จย่านั้นพระองค์ได้ประทับอยู่ทางซ้ายติดกับพระเชษฐาธิราช
ขยาย
พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(ขวา) สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี(กลาง) และ พระเชษฐาธิราช ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. 2481 โดยมี กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงเป็นผู้ฉายพระรูป สามารถเห็นพระองค์ในกระจกด้านหลัง ซึ่งพระองค์ได้ประทับนั่งอยู่ ตรงข้าม และสมเด็จย่านั้นพระองค์ได้ประทับอยู่ทางซ้ายติดกับพระเชษฐาธิราช

พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 5 ปี เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนี พระเชษฐภคินี และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษาในโรงเรียนเอกอล นูเวล เดอ ลา ซืออิส โรมองต์ เมืองแชลลี-ซือ-โลซาน

พ.ศ. 2477 เมื่อพระองค์เจ้าอานันทมหิดล ผู้เป็นพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุยเดช เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2478

เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2481 ได้โดยเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จนิวัตประเทศไทย เป็นเวลา 2 เดือน โดยประทับที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต จากนั้นเสด็จกลับไปศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์จนถึงปี พ.ศ. 2488 ทรงรับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์ จากโรงเรียนยิมนาส คลาซีค กังโตนาล แล้วทรงเข้าศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยโลซาน แผนกวิทยาศาสตร์ โดยเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นครั้งที่สอง ประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง

วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตโดยกะทันหัน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุยเดช จึงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ในวันเดียวกันนั้น แต่เนื่องจากยังมีพระราชกิจด้านการศึกษา จึงทรงอำลาประชาชนชาวไทยเสด็จพระราชดำเนินไปศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยแห่งเดิม แต่เปลี่ยนสาขาจากวิทยาศาสตร์ไปเป็นวิชากฎหมายและรัฐศาสตร์

ราชวงศ์ไทย

[แก้] อุบัติเหตุทางรถยนต์

ระหว่างประทับในต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร และทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2491 ได้เข้ารักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลในเมืองโลซาน โดย ม.ร.ว.สิริกิติ์ ได้มีโอกาสเยี่ยมเป็นประจำจนหายประชวร นับตั้งแต่นั้นมาทั้งสองพระองค์ก็มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด

[แก้] อภิเษกสมรส

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 เสด็จพระราชดำเนินนิวัตพระนครในปีถัดมา โดยประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ต่อมาวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ทรงอภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ กิติยากร และสถาปนาหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์

[แก้] พระราชพิธีบรมราชาภิเษก

ขณะที่ทรงผนวช
ขยาย
ขณะที่ทรงผนวช

วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีขึ้น ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" และในโอกาสนี้ทรงเฉลิมเกียรติพระราชินีสิริกิติ์ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี

[แก้] ทรงผนวช

เมื่อ พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออกผนวชเป็นเวลา 15 วัน ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีสมณนามว่า ภูมิพโลภิกขุ และเสด็จฯ ไปประทับจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่างที่ผนวช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในภายหลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธย เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ปีเดียวกันนั้น

[แก้] พระราชโอรสธิดา

วันอภิเษกสมรส
ขยาย
วันอภิเษกสมรส

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดา 4 พระองค์ ดังนี้

  1. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติ ณ สถานพยาบาล มองซัวซี นครโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2494 ต่อมาได้ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์ (ปัจจุบัน ออกพระนามว่า ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี)
  2. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักราดิศรสันตติวงศ์ เทเวศรธำรงสุรบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดชภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์ สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 ต่อมา ทรงได้รับการสถาปนา ขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฏราชกุมาร เมื่อ พ.ศ. 2515
  3. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. 2498 ต่อมาทรงได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระอิสริยยศ เป็น "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรรัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี" เมื่อ พ.ศ. 2520
  4. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2500

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จเยี่ยมเยียนราษฎร จ.ยะลา

พระราชดำรัส

"ถ้าครูไม่ห่วงประโยชน์ที่ควรจะห่วง  หันไปห่วงอำนาจ  ห่วงตำแหน่ง 

ห่วงสิทธิ์  และห่วงรายได้กันมากเข้าๆ

 แล้วจะเอาจิตใจที่ไหนมาห่วงความรู้  

ความดี  ความเจริญของเด็ก   

ความห่วงใยในสิ่งเหล่านั้นก็จะค่อยๆบั่นทอนทำลาย

 ความเป็นครูไปจนหมดสิ้นจะไม่มีอะไรดีเหลือไว้    

พอที่ตัวเองจะภาคภูมิใจหรือผูกใจใครไว้ได้  

ความเป็นครูก็จะไม่มี
ค่าเหลืออยู่ให้เป็นที่ เคารพบูชาอีกต่อไป"
   

  พระราชทานแก่ครูอาวุโสในโอกาสเข้าเฝ้าฯ
ณ  พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันเสาร์ที่   21  ตุลาคม  2521

วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาของทุกปี

พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

          สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระนามเดิมว่า หม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ กิติยากร ทรงเป็นพระราชธิดาองค์ใหญ่ ของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล (ต่ารสถาปนาเป็น พลเอกพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ) กับหม่อมหลวง บัว กิติยากร เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2475 ณ บ้านของพลเอกเจ้าพระยาวงศานุประพัทธ์ บิดาของหม่อมหลวงบัว กิติยากร ที่ถนนพระราม 6 กรุงเทพมหานคร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระเชษฐาและพระกนิษฐภคินี รวม 3 องค์คือ

          หม่อมราชวงศ์ กัลยาณกิติ์ กิติยากร
          หม่อมราชวงศ์ อดุลยกิติ์ กิติยากร
          หม่อมราชวงศ์ บุษบา กิติยากร
                    หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เติบโตขึ้นมาในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จึงทำให้ต้องอยู่ไกลจาก พระบิดามารดาในตอนแรก โดยได้ตามเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปประทับ ที่จังหวัดสงขลา ในปี 2476

          ต่อมา เมื่อหม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ มีอายุได้ 5 ขวบ ได้เข้ารับการศึกษาครั้งแรก ในชั้นอนุบาลที่โรงเรียน ราชินี เมื่อปี 2480 และเมื่อสงครามมหาเอเซียบูรพา ได้แผ่ขยายมาถึงประเทศไทย กรุงเทพมหานคร ถูกโจมตีทางอากาศบ่อยครั้ง ทำให้การคมนาคม ขาดความสะดวกและปลอดภัยหม่อมเจ้านักขัตรมงคล จึงให้ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ย้ายไปเรียนที่ โรงเรียนเซ็นต์ฟรังซิสซาเวียร์คอนแวนต์ ในชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 จนถึงชั้นมัธยมศึกษา เพราะอยู่ใกล้บ้าน และที่นี่หม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ ได้เริ่มเรียนเปียโน ซึ่งสามารถเรียนได้ดีและเร็วเป็นพิเศษ นอกเหนือไปจาก ความสามารถทางด้าน ภาษาต่างประเทศคือ ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศส ที่สามารถเรียนได้ดีเช่นกัน

          เมื่อสงครามโลก ครั้งที่ 2 สงบลง รัฐบาลไทยซึ่งขณะนั้นมี พันตรีควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ทูลขอให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคล ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำ สำนักเซ็นต์เยมส์ ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 2489 โดยได้ทรงพาครอบครัวทั้งหมดไปอยู่ด้วย ขณะนั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ มีอายุได้ 13 ปีเศษและเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้ว ระหว่างที่อยู่ในประเทศอังกฤษ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ได้ศึกษาภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส กับครูพิเศษ ควบไปกับการเรียนเปียโน ต่อมาไม่นานนัก หม่อมเจ้านักขัตรมงคล ได้ถูกย้ายไปดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต ประจำประเทศเดนมาร์ก และต่อไปที่ประเทศฝรั่งเศส หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ยังคงเรียนเปียโนเพื่อหาโอกาส เข้าศึกษาต่อ ในวิทยาลัยการดนตรี ที่มีชื่อของกรุงปารีส และที่ประเทศ ฝรั่งเศสนี้เองที่ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช (ขณะนั้นทรงเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว และเสด็จฯ ไปทรงศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์) ซึ่งทรงโปรดการ เสด็จประพาสกรุงปารีส โดยทางรถยนต์จากสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อทอดพระเนตรรถยนต์ แทนคันเดิม ที่รับราชการสนอง พระเดชพระคุณมาเป็นเวลานาน และการแสดงดนตรีของคณะที่มีชื่อเสียงอยู่บ่อย ครั้ง และในระหว่าง ที่เสด็จฯ มายังกรุงปารีส ก็จะทรง ประทับที่สถานทูตไทย ประจำประเทศฝรั่งเศส เช่นเดียวกัน กับนักเรียนไทยคนอื่น และเนื่องจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดการดนตร ีเป็นพิเศษ ขณะที่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เอง ก็สนใจ และรอบรู้เข้าใจ ในศิลปะการดนตรีเป็นอย่างดี ทำให้เป็นที่ต้องพระราชอัธยาศัย จนกลายเป็น ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นในที่สุด ในปี 2491 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และทรงเข้ารับ การรักษาพระองค์ในโรงพยาบาล โดยมีหม่อมหลวงบัว และหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เข้าเฝ้าฯ ถวายการพยาบาลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา และในช่วงระยะเวลาที่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์อยู่เฝ้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่สวิสเซอร์แลนด์นั้น สมเด็จพระราชชนนี ได้ทรงรับเป็นธุระ จัดการให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เข้าศึกษาใน Pensionnat Rinate Rive ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ของโลซานน์ จนเมื่อหลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหายจาก อาการประชวรแล้ว ได้ทรงหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เป็นการภายในเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 ภายหลังจากพิธีหมั้นผ่านไป หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ยังคงศึกษาอยู่ต่อจนเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯนิวัติพระนคร จึงทรงโปรดให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ตามเสด็จ พระราชดำเนินกลับมาด้วย เพื่อร่วมในพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในเดือนมีนาคม 2493 ต่อมาในวันที่ 28 เมษายน ปีเดียวกันนั้น ทรงโปรดให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสขึ้น ณ วังสระปทุม และโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ครั้นเมื่อ มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช โปรดให้เฉลิมพระนามาภิไธยสมเด็จพระราชินี สิริกิติ์ เป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี หลังจากนั้นทั้ง 2 พระองค์ ได้เสด็จฯ กลับไปยังสวิสเซอร์แลนด์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อทรงรักษาพระองค์ และทรงศึกษาต่อ และได้เสด็จฯกลับมาประทับที่ประเทศไทยในปี 2495 ในปี 2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออกบรรพชาตามโบราณราชประเพณีเป็นเวลา 15 วัน ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม ถึง 5 พฤศจิกายน ในระหว่างที่ผนวชอยู่นี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการ แทนพระองค์ ซึ่งต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดฯให้เฉลิมพระอภิไธย เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อ 5 ธันวาคมศกนั้น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชโอรส และพระราชธิดารวม 4 พระองค์คือ

          1. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติ ณ สถานพยาบาล มองซัวซี นครโลซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2494 ต่อมาได้ทรงลาออกจาก ฐานันดรศักดิ์ เพื่อสมรสกับนายปีเตอร์ เลด เจนเซ่น ชาวอเมริกัน ทรงมีพระโอรสและพระธิดา 3 องค์

          2. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ บรมจักราดิศรสันตติวงศ์ เทเวศรธำรงสุรบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดชภูมิพลนเรศวรางกูล กิตติสิริสมบูรณ์ สว่างควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2495 ต่อมาในปี 2515 ทรงได้รับการสถาปนา ขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมุฏราชกุมาร

          3. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2498 ต่อมาทรงได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระอิสริยยศ เป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรรัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เมื่อปี 2520

          4. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 4 กรกฏาคม 2500 ทรงอภิเษกสมรสกับ เรืออากาศโท (ยศในขณะนั้น) วีระยุทธ ดิษยะศริน ทรงมีพระธิดา 2 พระองค์ อ้างอิงจาก เว็บไซต์กองทัพอากาศ

 
ประวัติความเป็นมา



          ชาวอเมริกันเป็นผู้กำหนดให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการขึ้น และผู้ที่พยายามเรียกร้องให้มีวันแม่ในอเมริกา คือ แอนนา เอ็ม. จาร์วิส คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย แต่กว่าเธอจะประสบความสำเร็จก็ครบ 2 ปีพอดีในปี ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) โดยประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือดอกคาร์เนชั่น ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ ให้ประดับตกแต่งบ้าน หรือประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้ว ให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว

          สำหรับในประเทศไทยนั้นมีการจัดงานวันแม่ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2486 ณ.สวนอัมพร โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน แต่เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไปโดยปริยาย หลังจากผ่านพ้นวิกฤติสงครามไปแล้ว หลายหน่วยงานได้พยายามรื้อฟื้นให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง แต่กำหนดวันแม่ที่ประชาชนนิยม และเป็นที่รับรองของรัฐบาล คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 กำหนดงานวันแม่ในวันนี้ยังดำเนินต่อมาอีกหลายปี ก็ต้องมาหยุดชะงักลงอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าสภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน ซึ่งก็คือกระทรวงวัฒนธรรมที่ถูกยุบไปนั่นเอง

          ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย เห็นว่าควรมีการจัดงานวันแม่ต่อไป จึงได้รื้อฟื้นงานวันแม่ขึ้นมาอีก และได้กำหนดให้จัดงานวันแม่ คือวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวก็เลิกไป จนกระทั่งในปี พ.ศ.2519 คณะกรรมการอำนวยการ สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่า ควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนเสียที จึงได้กำหนดวันแม่ใหม ่โดยให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมา






          เหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรัก อันบริสุทธิ์ของแม่ ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย...

          นักภาษาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คำว่า "แม่" ของทุก ๆ ภาษา มาจากการออกเสียงของเด็ก โดยคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะริมฝีปากคู่ (Bilabial) ได้แก่ ม , พ , ป ,บ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพยัญชนะชุดแรก ที่เด็กสามารถทำเสียงได้ โดยการใช้ริมฝีปากบนและล่าง ดังเช่น

ภาษาไทย แม่

ภาษาจีน ม๊ะ หรือ ม่า

ภาษาฝรั่งเศส la mere (ลา แมร์)

ภาษาอังกฤษ mom , mam

ภาษาโซ่ ม๋เปะ

ภาษามุสลิม มะ

ภาษาไทใต้คง เม

เป็นต้น


 
เพลง ซึ้งๆ
เพลง ค่าน้ำนม
เพลง ใครหนอ
เพลง แม่ (โลโซ)
 
กลอนวันแม่

สตรีใด…….ไหนเล่า………..เท่าเธอนี้
เป็นผู้ที่ …………..ลูกทุกคน………บ่นรู้จัก
เป็นผู้ที่ ……………มีพระคุณ………การุณนัก
เป็นผู้ที่ …………..สร้างความรัก…..สอนความดี
เป็นผู้ที่……………คอยสั่งสอน…….เอาใจใส่
คอยห่วงใย….……เราทุกคน………จนวันนี้
เปรียบแสงทอง……สว่างล้ำ……….นำชีวี
เธอคนนี้…………..คือ ” แม่ ”……..ของเราเอง
……...วันเกิดเราเป็นดั่งวันสิ้นลมแม่
....เจ็บปวดแท้ดั่งน้ำตาพาจะไหล
....สองมือออบโอบอุ้มแกว่งเปล
....น้ำนมเลี้ยงอุ้มชูให้เติบใหญ่มา
…แม่เปรียบดั่งยารักษายามป่วยไข้
....แม่เปรียบดั่งต้นไม้ใหญ่ร่มใบหนา
....แม่เปรียบดั่งดวงตะวันส่องแสงมา
…แม่เปรียบดั่งผ้าห่มหนาอบอุ่นกาย
…เปรียบดั่งพระในบ้านชี้แนะลูก
....สถิตย์ถูกอยู่กลางใจไม่ไปไหน
....กตัญญูตอนนี้ยังไม่สายไป
....ก่อนแม่ไซร้หลับตาไปไม่ลืมเอย
มือน้อยน้อยแม่คอยอุ้มชู......... แม่เฝ้ามองดูไม่ห่างไปไหน
แม่เฝ้าปลอบขวัญยามลูกหลับไหล ........ ไม่ยอมห่างไกลไปจากสายตา
มือน้อยน้อยของแม่ล้ำค่า ........... อุ้มชูลูกมาจากเล็กเด็กแดง
ยามลูกเติบใหญ่ด้วยน้ำพักน้ำแรง ด้วยใจที่แกร่งของแม่ถักทอ
หากกล่าวถึง คำนี้ คำว่าแม่
บังเกิดแก่ สายตาชน คนทั้งผอง
ก็นิ่งคิด นิ่งเงียบ นิ่งยืนมอง
ไม่มีสอง นึกถึงคุณ พระคุณมารดา
แม่

ขับร้องโดย….โลโซ

(โค๊ตเพลง แม่ ได้รับความอนุเคราะห์จากคุณสเตอลิงค์…ขอขอบคุณครับ)


ป่านนี้ จะเป็นอย่างไร

จากมาไกล แสนนาน

คิดถึง คิดถึงบ้าน

จากมาตั้งนาน เมื่อไรจะได้กลับ


แม่จ๋า แม่รู้บ้างไหม

ว่าดวงใจ ดวงนี้เป็นห่วง

จากลูกน้อย ที่แม่ห่วงหวง

อยู่เมืองหลวง ศิวิไลซ์ ไกลบ้านเรา


คิดถึงแม่ขึ้นมา น้ำตามันก็ไหล

อยากกลับไป ซบลงที่ตรงตักแม่

ในอ้อมกอดรักจริง ที่เที่ยงแท้

ในอกแม่ สุขเกินใคร


อีกไม่นาน ลูกจะกลับไป

หอบดวงใจ เจ็บช้ำเกินทน

เก็บเรื่องราว วุ่นวายสับสน

ใจที่วกวน ของคนในเมืองกรุง


คิดถึงแม่ขึ้นมา น้ำตามันก็ไหล

อยากกลับไป ซบลงที่ตรงตักแม่

ในอ้อมกอด รักจริง ที่เที่ยงแท้

ในอกแม่ สุขเกินใคร



อีกไม่นาน ลูกจะกลับไป

หอบดวงใจ เจ็บช้ำเกินทน

เก็บเรื่องราว วุ่นวายสับสน

กับบางคน ที่ใจไม่แน่นอน

ลืมเรื่องบางคน ไปซบลงที่ตรงตักแม่...

 
เพลงกล่อมเด็ก
          เป็นเพลงที่มีเนื้อความสั้น ๆ ร้องง่าย ชาวบ้านในอดีตมักร้องกันได้ เนื่องจากได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เกิด คือได้ฟังพ่อแม่ร้องกล่อมตนเอง น้อง หลาน ฯลฯ เมื่อมีลูกก็มักร้องกล่อมลูก จึงเป็นเพลงที่ร้องกันได้เป็นส่วนมาก เราจึงพบว่าเพลงกล่อมเด็กมีอยู่ทุกภูมิภาคของไทย และเป็นวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูเด็กในสังคมไทย ซึ่งหากศึกษาจะพบว่า

1.เพลงกล่อมเด็กมีหน้าที่กล่อมให้เด็กหลับโดยตรง ดังนั้นจึงเป็นเพลงที่มีทำนองฟังสบาย แสดงความรักใคร่ห่วงใยของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็ก
2.เพลงกล่อมเด็กมีหน้าที่แอบแฝงหลายประการ อาทิ
-การสอนภาษา เพื่อให้เด็กออกเสียงต่าง ๆ ได้โดยการหัดเลียนเสียง และออกเสียงต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น

-ถ่ายทอดความรู้ต่าง ๆ ได้แก่ เรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติ การดำเนินชีวิต การทำมาหากินของสังคมตนเอง การสร้างค่านิยมต่าง ๆ รวมทั้งการระบายอารมณ์และความในใจของผู้ร้อง

นอกจากนี้พบว่า ส่วนมากแล้วเพลงกล่อมเด็ก มักมีใจความแสดงถึงความรักใคร่ห่วงใยลูก ซึ่งความรักและความห่วงใยนี้ แสดงออกมาในรูปของการทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเก็บเด็กไว้ใกล้ตัว

บทเพลงกล่อมเด็กจึงเป็นบทเพลงที่แสดงอารมณ์ ความรักความผูกพันระหว่างแม่-ลูก ซึ่งแต่ละบทมักแสดงถึงความรักความอาทร ทะนุถนอม ที่แม่มีต่อลูกอย่างซาบ

          นกเขาขัน

นกเขาเอย ขันแต่เช้าไปจนเย็น ขันไปให้ดังแม่จะฟังเสียงเล่น เนื้อเย็นเจ้าคนเดียวเอย

          กาเหว่า

กาเหว่าเอย ไข่ให้แม่กาฟัก แม่กาหลงรัก คิดว่าลูกในอุทร

คาบข้าวมาเผื่อ คาบเหยื่อมาป้อน ปีกหางเจ้ายังอ่อน สอนร่อนสอนบิน

แม่กาพาไปกิน ที่ปากน้ำแม่คงคา ตีนเหยียบสาหร่าย ปากก็ไซ้หาปลา

กินกุ้งกินกั้ง กินหอยกระพังแมงดา กินแล้วบินมา จับต้นหว้าโพธิทอง

นายพรานเห็นเข้า เยี่ยมเยี่ยมมองมอง ยกปืนขึ้นส่อง หมายจ้องแม่กาดำ

ตัวหนึ่งว่าจะต้ม ตัวหนึ่งว่าจะยำ แม่กาตาดำ แสนระกำใจเอย


          วัดโบสถ์

วัดเอ๋ยวัดโบสถ์ มีต้นข้าวโพดสาลี

ลูกเขยตกยาก แม่ยายก็พรากเอาตัวหนี

ข้าวโพดสาลี ต่อแต่นี้จะโรยรา

นอนไปเถิด

นอนไปเถิดแม่จะกล่อม นวลละม่อมแม่จะไกว

ทองคำแม่อย่าร่ำไห้ สายสุดใจเจ้าแม่เอย

เจ้าเนื้อละมุน

เจ้าเนื้อละมุนเอย เจ้าเนื้ออุ่นเหมือนสำลี

แม่มิให้ผู้ใดต้อง เนื้อเจ้าจะหมองศรี

ทองดีเจ้าคนเดียวเอย

เจ้าเนื้ออ่อน

เจ้าเนื้ออ่อนเอย อ้อนแม่จะกินนม

แม่จะอุ้มเจ้าออกชม กินนมแล้วนอนเปลเอย

กลั่นเม็ดเลือดเม็ดน้อยนับร้อยหยด
จนปรากฎเป็นหยดนมรสกลมกล่อม
เพื่อหล่อเลี้ยงทารกน้อยค่อยอดออม
เฝ้าถนอมฟูมฟักรักเมตตา
วันเปลี่ยนวันเดือนเปลี่ยนเดือนหมุนเคลื่อนคล้อย
จากเด็กน้อยเริ่มมีแรงเริ่มแข็งกล้า
ค่อยสอนเดินสอนทำสอนคำจา
สอนปัญญาสอนวิชาสารพัน
ทารกน้อยวันนี้เห็นเป็นผู้ใหญ่
แม่ภูมิใจในผลงานการสร้างสรรค์
ความเหน็ดเหนื่อยกายใจหายไปพลัน
เมื่อถึงวันลูกได้รับปริญญา
วันนี้ลูกของแม่สุขถ้วนทั่ว
มีครอบครัวอยู่เย็นเป็นฝั่งฝา
แม่คนนี้ย่างเข้าสู่วัยชรา
รอเวลาสู่กองฟอนตอนสิ้นใจ
วันเอยวันแม่
สองตาแลหม่นหมองอยากร้องไห้
บ้านแม่อยู่วันนี้ไม่มีใคร
มีแต่ไก่กับหมาที่สีมอซอ
อยากฝากดาวถามฟ้าหาลูกรัก
ใครรู้จักบอกให้ได้ไหมหนอ
แม่ชราผู้อยู่หลังยังเฝ้ารอ
บอกอยากขอเห็นหน้าอีกคราเอย


เมื่อคุณถือกำเนิดขึ้นมาในโลกนี้ ..เธออุ้มคุณไว้ในอ้อมอก คุณขอบคุณเธอ
ด้วยการร้องไห้ดังลั่น.

When you came into the world, she held you in her arms. You thanked her by wailing like a banshee.


เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ เธอป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณเธอ
ด้วยการร้องงอแงทั้งคืน

When you were 1 year old, she fed you and bathed you. You thanked her by crying all night long.


เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ เธอสอนคุณเดิน คุณขอบคุณเธอ
ด้วยการวิ่งหนีเมื่อเธอเรียกหา

When you were 2 years old, she taught you to walk. You thanked her by running away when she called

เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ เธอทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณเธอ
ด้วยการโยนจานอาหารลงกับพื้น

When you were 3 years old, she made all your meals with love. You thanked her by tossing your plate on the floor.

เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ เธอให้ดินสอสีคุณ คุณขอบคุณเธอ ด้วยการระบายสีลงบนโต๊ะอาหาร

When you were 4 years old, she gave you some crayons. You thanked her by coloring the dining room table.


เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ เธอแต่งชุดเก่งให้คุณเพื่อไปเที่ยว คุณขอบคุณเธอ
ด้วยการทำชุดเก่งนั้นเปื้อนโคลนเลอะเทอะไปทั่ว

When you were 5 years old, she dressed you for the holidays. You thanked her by plopping into the nearest pile of mud.


เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ เธอเดินไปส่งคุณไปโรงเรียน คุณขอบคุณเธอ ด้วยการกรีดร้องว่า "ไม่ไป!!!"

When you were 6 years old, she walked you to school. You thanked her by screaming, "I'M NOT GOING!"


เมื่อคุณอายุได้ 7 ขวบ เธอซื้อลูกบอลให้คุณ คุณขอบคุณเธอ ด้วยการขว้างหน้าต่างของเพื่อนบ้านแตก

When you were 7 years old, she bought you a ball. You thanked her by throwing it through the next-door-neighbor's window.

เมื่อคุณอายุได้ 8 ขวบ เธอซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณเธอ ด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว

When you were 8 years old, she handed you an ice cream. You thanked her by dripping it all over your lap.


เมื่อคุณอายุได้ 9 ขวบ เธอสอนเปียโนให้คุณ คุณขอบคุณเธอ ด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม

When you were 9 years old, she paid for piano lessons. You thanked her by never even bothering to practice.


เมื่อคุณอายุได้ 10 ขวบ เธอขับรถไปส่งคุณทั้งวัน ตั้งแต่สนามบอล,โรงยิม, ยันงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อน
แต่ละคน โดยคุณขอบคุณเธอ ด้วยการกระโดดออกนอกรถ โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

When you were 10 years old, she drove you all day, from soccer to gymnastics to one birthday party after another. You thanked her by jumping out of the car and never looking back.


เมื่อคุณอายุได้ 11 ขวบ เธอพาคุณและเพื่อนของคุณไปดูหนัง คุณขอบคุณเธอ ด้วยการขอนั่งที่นั่งคนละแถว

When you were 11 years old, she took you and your friends to the movies. You thanked her by asking to sit in a different row.


เมื่อคุณอายุได้ 12 ขวบ เธอเตือนคุณว่าหยุดดูทีวี คุณขอบคุณเธอ
ด้วยการรอให้เธอออกไปจากบ้านก่อน แล้วดูต่อ

When you were 12 years old, she warned you not to watch certain TV shows. You thanked her by waiting until she left the house.


เมื่อคุณอายุได้ 13 ปี เธอแนะให้คุณตัดผมได้แล้ว คุณขอบคุณเธอ ด้วยการบอกว่าเธอไม่มีรสนิยมเอาเสียเลย

When you were 13, she suggested a haircut that was becoming. You thanked her by telling her she had no taste.


เมื่อคุณอายุได้ 14 ปี เธอจ่ายค่าซัมเมอร์แคมป์หนึ่งเดือนให้คุณได้ไปแคมป์ คุณขอบคุณเธอ
ด้วยการไม่ยอมเขียนจดหมายไปหาเธอแม้สักฉบับเดียว

When you were 14, she paid for a month away at summer camp. You thanked her by forgetting to write a single letter.


เมื่อคุณอายุได้ 15 ปี เธอกลับบ้านหลังเลิกงานและอยากจะได้กอดคุณสักครั้ง คุณขอบคุณเธอ
ด้วยการล็อกห้องนอนขังตัวเองในห้อง

When you were 15, she came home from work, looking for a hug. You thanked her by having your bedroom door locked.

เมื่อคุณอายุได้ 16 ปี เธอสอนคุณขับรถ คุณขอบคุณเธอ ด้วยการเอารถไปขับทุกเวลาที่คุณจะเอาไปได้

When you were 16, she taught you how to drive her car. You thanked her by taking it every chance you could.


เมื่อคุณอายุได้ 17 ปี เธอกำลังรอโทรศัพท์สายสำคัญอยู่ คุณขอบคุณเธอ ด้วยการใช้สายตลอดคืน

When you were 17, she was expecting an important call. You thanked her by being on the phone all night.


เมื่อคุณอายุได้ 18 ปี เธอปลื้มใจร้องไห้ในวันที่คุณเรียนจบชั้นมัธยมปลาย คุณขอบคุณเธอ
ด้วยการฉลองยันเช้า

When you were 18, she cried at your high school graduation. You thanked her by staying out partying until dawn.


เมื่อคุณอายุได้ 19 ปี เธอจ่ายค่าเทอมให้คุณ ขับรถไปส่งคุณเข้าเรียน พร้อมช่วยแบกเป้ไปให้คุณ
คุณขอบคุณเธอ ด้วยการบอกลาข้างนอกเพื่อที่จะไม่ได้อายเพื่อน

When you were 19, she paid for your college tuition, drove you to campus, carried your bags. You thanked her by saying good-bye outside the dorm so you wouldn't be embarrassed in front of your friends.


เมื่อคุณอายุได้ 20 ปี เธอถามคุณว่ามีแฟนหรือยัง คุณขอบคุณเธอ
ด้วยการพูดว่าไม่ใช่เรื่องอะไรของเธอสักหน่อย

When you were 20, she asked whether you were seeing anyone. You thanked her by saying, "It's none of your business."

เมื่อคุณอายุได้ 21 ปี เธอแนะนำอาชีพให้คุณสำหรับอนาคตที่ดีงาม คุณขอบคุณเธอ
ด้วยการบอกว่า คุณไม่อยากเป็นอย่างเธอ

When you were 21, she suggested certain careers for your future. You thanked her by saying, "I don't want to be like you."


เมื่อคุณอายุได้ 22 ปี เธอกอดคุณในวันรับปริญญา
คุณขอบคุณเธอ ด้วยการบอกว่าอยากได้รางวัลไปเที่ยวยุโรปสักครั้ง


When you were 22, she hugged you at your college graduation.
You thanked her by asking whether she could pay for a trip to Europe.


เมื่อคุณอายุได้ 23 ปี เธอซื้อเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งในอพาร์ตเมนท์แห่งแรกให้คุณ
คุณขอบคุณเธอ ด้วยการบอกเพื่อนๆว่า มันช่างน่าเกลียดเสียนี่กระไร

When you were 23, she gave you furniture for your first apartment. You thanked her by telling your friends it was ugly.


เมื่อคุณอายุได้ 24 ปี เธอพบคู่หมั้นคู่หมายของคุณ และเธอถามคุณเกี่ยวกับแผนการในอนาคต คุณขอบคุณเธอ ด้วยการจ้องหน้าเขม็งพร้อมพูดว่า "แม่.....ได้โปรดเถอะอย่ายุ่งกับเรื่องนี้"

When you were 24, she met your fiance and asked about your plans for the future.
You thanked her by glaring and growling, "Muuhh-ther, please!"


เมื่อคุณอายุได้ 25 ปี เธอช่วยคุณจ่ายค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานของคุณ พร้อมปลื้มใจร้องไห้และบอกคุณว่าเธอรักคุณแค่ไหน คุณขอบคุณเธอ ด้วยการย้ายไปอีกฟากหนึ่งของประเทศ

When you were 25, she helped to pay for your wedding, and she cried and told you how deeply she loved you.
You thanked her by moving halfway across the country.

เมื่อคุณอายุได้ 30 ปี เธอโทรมาหาพร้อมกับแนะนำเรื่องการเลี้ยงเด็ก คุณขอบคุณเธอ
ด้วยการบอกว่า “สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว”

When you were 30, she called with some advice on the baby. You thanked her by telling her, "Things are different now."


เมื่อคุณอายุได้ 40 ปี เธอโทรมาเตือนความจำคุณเกี่ยวกับวันคล้ายวันเกิดของญาติ
คุณขอบคุณเธอ ด้วยการบอกว่า “ตอนนี้ไม่ว่างเลย”

When you were 40, she called to remind you of an relative's birthday.
You thanked her by saying you were "really busy right now."


เมื่อคุณอายุได้ 50 ปี เธอเริ่มชราและไม่ค่อยสบาย เธอต้องการให้คุณช่วยดูแล คุณขอบคุณเธอ ด้วยการบอกว่ามันเป็นภาระแค่ไหนที่จะต้องเลี้ยงดูเธอ

When you were 50, she fell ill and needed you to take care of her.
You thanked her by reading about the burden parents become to their children.

และแล้ววันหนึ่ง เธอจากไปอย่างเงียบสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยกระทำ จะเป็นฟ้าผ่าในใจคุณ
"เรียกแม่ไปเถอะลูก เรียกแม่ไปตลอดทั้งคืน"

And then, one day, she quietly died. And everything you never did came crashing down like thunder.
"Rock me baby, rock me all night long."


โปรดใช้เวลาสักนิดแสดงออกถึงความลึกซึ้ง แด่คนที่คุณเรียกว่า “แม่”

Please paid little bit attention to the one you called "mom" .

ไม่มีอะไรจะสามารถแทนที่แม่ได้

แม้ว่าในบางครั้งแม่อาจจะไม่ใช่คนที่เข้าใจคุณมากที่สุด หรืออาจจะไม่เห็นด้วยกับความคิดของคุณ แต่แม่ก็คือแม่ของคุณ และคุณจงเชื่อได้เลยว่า แม่จะยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังทุกๆปัญหาและทุกๆความกังวลของคุณ

Nothing can replace her although sometimes she is not the one who mostly understand in you.
Or she may not agree with your thought but she still your "mom" and you can believe that she can do everything for you.
Listen to your problems, every anxious .


คุณเคยมีเวลาที่จะฟังความเครียดในงานที่แม่เคยมีอยู่บ้างไหม?

คุณเคยคิดถึงความเหนื่อยล้าของแม่บ้างไหม?

กรุณารักแม่ให้มาก

แม้ว่าแม่จะคิดเห็นแตกต่างหรือคิดไม่ตรงกับมุมมองของคุณ เพราะว่าเมื่อแม่จากคุณไปแล้ว
คุณจะเหลือเพียงความทรงจำและความเศร้าเสียใจเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ

จงอย่าเพิกเฉยกับคนที่อยู่ใกล้หัวใจคุณที่สุด

จงรักแม่ของคุณ…ให้มากกว่าที่คุณรักตัวเอง.

Do you have more time to listen to her worry from work?
Do you used to concern about her tired? Please love her so much although she and you have the conflict because when she pass away. It's remain the memory and sad. Do not ignore the one who closely to your heart.
Love her more than you love yourself.


teacher.jpg

TEACHER DAY

footer.jpg